บทความนี้ใช้ระบบคริสต์ศักราช เพราะอ้างอิงคริสต์ศักราชและคริสต์ศตวรรษ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
Reciprocal innervation เป็นหลักอธิบายการส่งเส้นประสาทไปยัง
กล้ามเนื้อโครงร่างที่อยู่เป็นคู่ปฏิปักษ์ เพราะการหดเกร็งกล้ามเนื้อมัดหนึ่งปกติเป็นการออกแแรงต้านกล้ามเนื้อที่เป็นคู่ตัวอย่างเช่น ใน
แขนมนุษย์ กล้ามเนื้อ triceps ออกแรงให้ยืดปลายแขนในขณะที่กล้ามเนื้อ
biceps ออกแรงให้งอปลายแขนดังนั้น จึงต้องยับยั้งกล้ามเนื้อที่ต่อต้านเพื่อให้ออกแรงได้เร็วสุดและมีประสิทธิภาพดีสุด
reciprocal innervation (แปลว่า การมีเส้นประสาทกลับกัน) หมายถึงการจัดระเบียบการส่ง
กระแสประสาท (โดยเฉพาะใน
อินเตอร์นิวรอน[1]) เพื่อให้การหดเกร็งกล้ามเนื้อมัดหนึ่งเกิดพร้อมกับการคลายกล้ามเนื้อที่เป็นคู่ปฏิปักษ์
นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส
เรอเน เดการ์ต (1596-1650) เป็นบุคคลแรกที่คิด
แบบจำลองเช่นนี้ในปี 1626 สำหรับการควบคุมกล้ามเนื้อทำการ (agonist muscle) คู่กับกล้ามเนื้อปฏิปักษ์ (antagonist muscle)ตัวอย่างสามัญของการจัดระเบียบเช่นนี้ก็คือรีเฟล็กซ์ป้องกันอันตรายซึ่งเริ่มจาก
ความเจ็บปวด เป็นรีเฟล็กซ์ที่เรียกว่า
withdrawal reflexเป็นการกระทำเหนืออำนาจจิตใจของร่างกายเพื่อยกอวัยวะให้พ้นจาก
สิ่งเร้าที่ทำให้เจ็บ (เช่น ของร้อน ของคม) โดยหดเกร็งกล้ามเนื้อที่เหมาะสม (ปกติเป็นกล้ามเนื้องอ [flexor]) ในขณะที่คลายกล้ามเนื้อที่เป็นคู่ปฏิปักษ์ (ปกติเป็นกล้ามเนื้อยืด [extensor])แนวคิดนี้สามารถใช้ได้กับตาด้วย (เรียกว่า Sherrington's law) ที่การเพิ่มกระแสประสาทที่กล้ามเนื้อตา (extraocular muscle) มัดหนึ่ง จะเกิดพร้อมกับการลดกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อปฏิปักษ์โดยเฉพาะ เช่น
กล้ามเนื้อมีเดียล เรกตัสที่คู่กับ
กล้ามเนื้อแลทเทอรัล เรกตัส เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้เพื่อมองซ้ายขวาเมื่อมองไปทางด้านข้าง (ด้านขมับ) กล้ามเนื้อแลทเทอรัล เรกตัสต้องหดเกร็งอาศัยกระแสประสาทที่มีเพิ่มขึ้น ในขณะที่กล้ามเนื้อปฏิปักษ์ที่ตาเดียวกัน คือ กล้ามเนื้อมีเดียล เรกตัสต้องคลายตัวแต่ตาอีกข้างหนึ่งจะทำการตรงกันข้าม
[2]ให้สังเกตว่า แม้ปกติจะมีการจัดระเบียบเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การส่งกระแสประสาทจะมีผลตายตัวให้กล้ามเนื้อที่เป็นปฏิปักษ์คลายตัวในทุกโอกาส ยกตัวอย่างเช่น รีเฟล็กซ์ที่เรียกว่า
stretch reflex ซึ่งช่วยคงความยาวของกล้ามเนื้อ นอกจากจะมีเส้นประสาทจากปลาย
ประสาทรับความรู้สึกคือ
muscle spindle ส่งไปยัง
เซลล์ประสาทสั่งการอัลฟาโดยตรงเพื่อทำให้เซลล์สั่งการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดเกร็งแล้ว ก็ยังมีวิถีประสาทที่วิ่งผ่าน
อินเตอร์นิวรอน คือ Ia inhibitory neuron ซึ่งคลายกล้ามเนื้อที่เป็นปฏิปักษ์ด้วย แต่
อินเตอร์นิวรอนนี้ก็มีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวร่างกายใต้อำนาจจิตใจด้วย คือมันได้รับเส้นประสาทจากสมองส่วนต่าง ๆ ที่เมื่อมีความจำเป็น มันจะได้รับกระแสประสาททั้งแบบกระตุ้นและแบบเร้า เพื่อลดระดับการส่งกระแสประสาทไปยับยั้งกล้ามเนื้อที่เป็นปฏิปักษ์ และในบางกรณี มีผลให้กล้ามเนื้อปฏิปักษ์หดเกร็งไปพร้อม ๆ กันเพื่อทำให้ข้อแข็งไม่ขยับ ซึ่งจำเป็นเมื่อต้องทำสิ่งที่ละเอียดหรือต้องมีเสถียรภาพของข้อ เช่น การเกร็งทั้งกล้ามเนื้องอและกล้ามเนื้อเหยียดให้ข้อศอกแข็งเพื่อรับลูก
เบสบอล[3]